หากคุณกำลังมองหาช่องทางการเทรดนอกเหนือจากการเทรดฟอเร็กซ์ การเทรดน้ำมันก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการเทรดที่น่าสนใจสำหรับคุณ แม้ว่าสถานการณ์โควิดในปัจจุบันจะส่งผลต่อให้ราคาน้ำมันปรับลดลงเป็นอย่างมาก แต่นี่อาจเป็นโอกาสทำกำไรที่คุณไม่ควรมองข้าม ซึ่งคุณสามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้
ก่อนอื่น เราขอหยิบยกข้อมูลเบื้องต้นที่เป็นประโยชน์บางส่วน ซึ่งคุณควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนที่จะเริ่มเทรดน้ำมัน เพื่อให้คุณมีความพร้อมก่อนเริ่มต้นลงมือเทรดจริง
น้ำมัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและมีความสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะการเดินทางและการขนส่งที่ต้องพึ่งพายานพาหนะที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง น้ำมันสำเร็จรูปที่เราใช้กันปัจจุบันสำหรับรถที่วิ่งบนท้องถนน เช่น น้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลนั้นได้รับการผลิตมาจากน้ำมันดิบ ซึ่งก่อนที่จะนำมาใช้นั้น จะต้องผ่านหลายกระบวนการ ตั้งแต่การค้นหา ขุดเจาะ ลำเลียง ไปจนถึงการกลั่น
“น้ำมันดิบ” หรือ Crude Oil คือ ปิโตรเลียมที่มีสถานะเป็นของเหลวที่จะสามารถพบได้ในธรรมชาติ ซึ่งมีส่วนผสมของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหลายชนิด และอาจมีสารอื่นๆ ผสมอยู่ด้วย เช่น กำมะถัน ไนโตรเจน ออกซิเจน โดยเมื่อขุดเจาะขึ้นมาแล้วจะเห็นลักษณะกายภาพเป็นสีดำหรือสีน้ำตาล
น้ำมันดิบที่คุณภาพดีและราคาสูงนั้น สามารถดูได้จากค่า API ที่สูง ซึ่งหมายความว่า มีความหนาแน่นต่ำ และปริมาณกำมะถันต่ำ
น้ำมันดิบเป็นสินค้าที่ซื้อขายกันในตลาดคอมโมดิตี้ (Commodity) หรือตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยจะมีชื่อเรียกตามแหล่งผลิต ซึ่งสามารถบอกให้เราทราบถึงคุณภาพและแหล่งที่มา
แหล่งน้ำมันดิบสำคัญที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาน้ำมันในตลาดโลก มีดังนี้
น้ำมันดิบเบรนท์ คือ น้ำมันดิบคุณภาพดี มีปริมาณกำมะถันและความหนาแน่นต่ำ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์นั้นมาจากราคาเฉลี่ยของน้ำมันจากแหล่งการผลิตในบริเวณทะเลเหนือ หรือทะเลที่อยู่ระหว่างอังกฤษและนอร์เวย์
น้ำมันดิบดับบลิวทีไอ (West Texas Intermediate: WTI) คือ น้ำมันดิบที่มีการผลิตจากหลุมเจาะในแท็กซัสตะวันตก โดยน้ำมันดิบ WTI นั้นจะมีความหนาแน่นและปริมาณกำมะถันที่ต่ำกว่าน้ำมันดิบเบรนด์ซึ่งถือได้ว่าน้ำมันดิบ WTI นั้นมีคุณภาพดีกว่า
น้ำมันดิบดูไบ คือ น้ำมันดิบที่มีการผลิตจากแหล่งน้ำมันใต้ทะเลทรายในเอเชียตะวันออกกลาง น้ำมันดิบที่ได้จากบริเวณนี้จะมีความหนาแน่นสูงรวมถึงมีปริมาณกำมะถันสูง โดยในตลาด ราคาน้ำมันดิบดูไบนี้จะใช้เป็นราคาอ้างอิงในการกำหนดราคาน้ำมันในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากภูมิภาคเอเชียนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางเป็นหลัก
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์และน้ำมันดิบ WTI ถูกนำมาใช้เป็นราคาอ้างอิงในการซื้อขายน้ำมันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยข้อแตกต่างที่สำคัญของน้ำมันดิบจากทั้ง 2 แหล่ง สามารถสรุปสั้นๆ ได้ดังนี้
น้ำมันดิบเบรนท์มีแหล่งผลิตอยู่ที่ทะเลเหนือระหว่างอังกฤษและนอร์เวย์ ส่วนน้ำมันดิบ WTI มีแหล่งผลิตอยู่ที่แหล่งน้ำมันในเท็กซัส ลุยเซียนา และนอร์ธ ดาโกตา
น้ำมันดิบเบรนท์มีแหล่งผลิตใกล้กับทะเล ค่าใช้จ่ายในการขนส่งจึงถูกกว่า ในขณะที่น้ำมันดิบ WTI มีแหล่งผลิตในบริเวณพื้นที่ปิด ค่าใช้จ่ายในการขนส่งจึงค่อนข้างสูง
น้ำมันดิบเบรนท์มีค่า API อยู่ที่ประมาณ 39 ดีกรี และมีปริมาณกำมะถันอยู่ที่ประมาณ 0.4% ส่วนน้ำมันดิบ WTI มีค่า API อยู่ที่ประมาณ 37 – 42 ดีกรี และมีปริมาณกำมะถันอยู่ที่ประมาณ 0.24% ดังนั้น ด้วยค่า API ที่สูงกว่า น้ำมันดิบ WTI จึงมีคุณภาพดีกว่าน้ำมันดิบเบรนท์ อย่างไรก็ตาม ในการเทรดน้ำมัน เราอาจพบว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์นั้นสูงกว่าราคาน้ำมันดิบ WTI นั่นเป็นเพราะมีปัจจัยอื่นๆ ที่จะต้องพิจารณาร่วมด้วย เช่น อุปทานของน้ำมันดิบ WTI ที่สูงกว่า ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI อาจต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ เป็นต้น
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ถูกนำมาใช้อ้างอิงเป็นมาตรฐาน (benchmark) ของ 2 ใน 3 ของราคาน้ำมันที่มีการซื้อขายกันทั่วโลก โดย OPEC กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก จะใช้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพื่อเป็นมาตรฐานในการกำหนดราคาน้ำมัน ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI นั้นใช้เป็นมาตรฐานของราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกา และเป็นราคาที่ใช้อ้างอิงสำหรับ 1 ใน 3 ของมาตรฐานราคาน้ำมันดิบทั่วโลก
*OPEC หรือ Organization of Petroleum Exporting Countries เป็นกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1960 ซึ่งมีสมาชิกล่าสุดทั้งหมด 14 ประเทศ ได้แก่ ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย อิรัก อิหร่าน คูเวต เวเนซูเอลา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กาตาร์ ไนจีเรีย แอลจีเรีย ลิเบีย อินโดนีเซีย กาบอง เอกวาดอร์ และแองโกลา
การเทรดน้ำมันดิบนั้นมีสภาพคล่องสูง โดยมีปริมาณการเทรดต่อวันที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ทำให้ซื้อง่ายขายคล่อง ทั้งยังเป็นกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ลงทุน เนื่องจากราคาน้ำมันมักมีการเคลื่อนไหวที่ไม่สัมพันธ์กับราคาหุ้นมากนัก คุณจึงสามารถพิจารณาการเทรดน้ำมันเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้ การเทรดน้ำมันยังมีความผันผวนสูง นั่นหมายความว่า คุณมีโอกาสทำกำไรจากการเทรดน้ำมันสูง อย่างไรก็ตาม ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
ก่อนจะเริ่มเทรดน้ำมัน เทรดเดอร์มือใหม่ควรศึกษาปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันให้เข้าใจอย่างละเอียด และไม่ควรพลาดการติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจส่งผลต่อราคาน้ำมัน
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา ซึ่งเทรดเดอร์น้ำมันควรคำนึงถึง มีดังนี้
อุปสงค์ของน้ำมันนั้นอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักๆ ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ฤดูกาล หรือแม้กระทั่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เรากำลังเผชิญในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ปัจจัยในเรื่องสภาพเศรษฐกิจของประเทศหลักๆ ที่ใช้น้ำมัน เช่น สหรัฐอเมริกา และประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป หากประเทศเหล่านี้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตัวชะลอ ก็อาจจะเป็นผลให้การใช้น้ำมันลดลง ซึ่งก็จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้ ในทำนองเดียวกัน สำหรับช่วงที่ประเทศต่างๆ กำลังใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนเดินทางกันน้อยลง ก็อาจส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเพื่อเป็นเชื้อเพลิงสำหรับพาหนะในการสัญจรลดลง ซึ่งก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลงเช่นกัน
หากความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณน้ำมัน ราคาน้ำมันจะสูงขึ้น ดังนั้น เพื่อรักษาสมดุลของราคาน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันดิ่งลง ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมราคาน้ำมัน ซึ่งก็คือ กลุ่มประเทศที่ผลิตน้ำมันเพื่อส่งออกหรือ OPEC จะลดกำลังการผลิตเพื่อดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น
ประเทศต่างๆ ซื้อขายน้ำมันในสกุลเงินดอลลาร์ ดังนั้น หากอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์มีการเปลี่ยนแปลง ก็ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ภัยพิบัติหรือแม้กระทั่งสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศที่ส่งออกน้ำมัน อาจส่งผลให้แหล่งผลิตน้ำมันได้รับความเสียหาย จึงมีผลให้ปริมาณน้ำมันที่ออกสู่ตลาดลดลง
ความกลัวและความคาดหวังของนักลงทุนที่มีต่อสถานการณ์ต่างๆ อาจส่งผลต่อราคาน้ำมัน
ในการเทรดน้ำมัน ราคาที่ใช้อ้างอิงในการซื้อขายสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ราคาซื้อขายทันทีและราคาฟิวเจอร์ส ซึ่งใช้ในรูปแบบการซื้อขายที่ต่างกัน
ราคาซื้อขายทันทีหรือราคา spot เป็นราคาที่ใช้ซื้อขายสินค้าที่จะทำการชำระเงินและรับมอบสินค้าทันที
ราคาฟิวเจอร์ส เป็นราคาสำหรับการซื้อขายสินค้าที่ได้ทำการตกลงจำนวนและราคาซื้อขายสินค้าไว้อย่างชัดเจน แต่จะทำการชำระเงินและส่งมอบสินค้าในอนาคต โดยผู้ซื้อและผู้ขายมีภาระผูกพันที่จะต้องทำตามสัญญาเมื่อครบกำหนด โดยราคาฟิวเจอร์สนั้นจะมีการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าร่วมด้วย
ราคาซื้อขายทันทีและราคาฟิวเจอร์สนั้น อาจสูงกว่า ต่ำกว่า หรือเท่ากันก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและปัจจัยต่างๆ หากราคาฟิวเจอร์สสูงกว่าราคาซื้อขายทันที ซึ่งมักจะเกิดในสภาวะตลาดขาขึ้น (Bullish) เราเรียกสภาวะนี้ว่า Contango ในทางตรงกันข้าม หากราคาฟิวเจอร์สต่ำกว่าราคาซื้อขายทันที โดยมักเกิดขึ้นในสภาวะตลาดขาลง (Bearish) เราเรียกสภาวะนี้ว่า Backwardation
เมื่อคุณทำการศึกษาเพิ่มเติม และมีความมั่นใจในความรู้และทักษะในการวิเคราะที่จำเป็นแล้ว ลำดับถัดไปคือ การเลือกช่องทางในการเริ่มต้นเทรดน้ำมัน ซึ่งแต่ละช่องทางนั้นมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน โดยคุณสามารถพิจารณาและเลือกตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ ทั้งนี้ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงร่วมด้วย
นักลงทุนที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลกองทุนรวมน้ำมันจากสถาบันการเงินต่างๆ โดยความให้อ่านและทำความเข้าใจข้อมูลในหนังสือชี้ชวนให้ละเอียด และศึกษาสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุน นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนอีกด้วย
การซื้อขายน้ำมันดิบในตลาด WTI และ Brent มักทำกันเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือสัญญาฟิวเจอร์ส การซื้อขายสัญญาประเภทนี้จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก และหากถือสัญญาจนถึงวันสิ้นสุดสัญญาก็จะต้องส่งมอบสินค้ากัน ทั้งนี้ในสัญญาจะมีการตกลงและระบุไว้ว่า จะทำการส่งมอบสินค้ากันจริง (Physical Delivery) หรือชำระส่วนต่างระหว่างราคาที่ทำสัญญากับราคาตลาด ณ วันครบอายุสัญญา โดยไม่ต้องส่งมอบสินค้า (Cash Settlement) อย่างไรก็ตาม สัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นมีวันหมดอายุ ซึ่งต่างจากหุ้นที่ไม่มีวันหมดอายุ ดังนั้น การถือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าระยะยาวเพื่อเก็งกำไร สามารถทำได้โดยการโรลโอเวอร์ (rollover) ซึ่งเปรียบเสมือนการต่ออายุสัญญาเพื่อเลื่อนวันครบกำหนดออกไป ด้วยการปิดสถานะเดิมที่ใกล้หมดอายุ แล้วเปิดสถานะใหม่ซึ่งมีวันครบกำหนดใหม่ที่ถัดออกไปจากเดิม
สัญญาซื้อขายส่วนต่าง หรือ Contract for Difference คือข้อตกลงระหว่าง 2 ฝ่าย หรือผู้ซื้อและผู้ขายในการแลกเปลี่ยนส่วนต่างระหว่างราคาเปิดและราคาปิดของสินทรัพย์อ้างอิง (underlying asset) สัญญาซื้อขายส่วนต่างเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้คุณสามารถเทรดการเคลื่อนไหวของราคาได้โดยที่ไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ว่าจะเป็นการเทรดหุ้น ดัชนี คอมโมดิตี้ (สินค้าโภคภัณฑ์) หรือสกุลเงิน โดยที่คุณสามารถเทรดทำกำไรได้ทั้ง 2 ทาง ทั้งซื้อและการขาย ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง หากคุณคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงในอนาคต คุณก็สามารถเทรดทำกำไรด้วยการเปิดสถานะขาย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเทรด CFD จะมีโอกาสทำกำไรได้มาก แต่ก็มีความเสี่ยงสูง จึงต้องอาศัยการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบในการเทรด
CFD เป็นเครื่องมือการเทรดซึ่งเป็นที่สนใจของเทรดเดอร์รายย่อย โดยเครื่องมือการเทรดนี้ช่วยให้คุณสามารถเทรดสินทรัพย์ได้ตามต้องการ ด้วยเงินลงทุนไม่สูงมาก จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับเทรดเดอร์ทั่วโลก ในปัจจุบันมีโบรกเกอร์ที่ให้บริการเทรด CFD น้ำมันเป็นจำนวนมาก หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่และต้องการพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
หากสนใจเริ่มต้นเทรดน้ำมัน คุณสามารถเริ่มเทรด CFD น้ำมันกับ Exness ด้วยเงินเริ่มต้นที่ไม่สูงมากและสเปรดต่ำ Exness เป็นโบรกเกอร์ที่ดำเนินงานด้วยความโปร่งใสและมีประสบการณ์มายาวนานกว่า 10 ปี เรามีฝ่ายบริการลูกค้าซึ่งพร้อมดูแลให้คำปรึกษาและตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการเทรดให้กับคุณตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ราคาที่เราให้บริการในการเทรดน้ำมันจะอ้างอิงจากราคาซื้อขายทันที (ราคา spot) คุณสามารถเทรด US Oil ได้ในบัญชี Standard และ Pro รวมไปถึงบัญชีที่มีสเปรดต่ำเป็นพิเศษและไม่มีสเปรด ได้แก่ บัญชี Raw spread, Zero นอกจากนั้น คุณยังสามารถเทรด UK Oil ได้ในบัญชีประเภท Standard, Pro อีกด้วย
นี่คือบล็อกอย่างเป็นทางการของ Exness Limited ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเว็บไซต์ Exness.com บล็อกแห่งนี้ใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลการสื่อสารการตลาด และไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุนหรือผลวิจัยใดๆ เนื้อหาที่นำเสนอเป็นมุมมองทั่วไปของผู้เชี่ยวชาญของเรา โดยมิได้พิจารณาสถานการณ์เฉพาะของผู้อ่านแต่ละคน ไม่ว่าประสบการณ์ด้านการลงทุนหรือสถานะทางการเงิน CFD เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เลเวอเรจ การซื้อขาย CFD มีความเสียงสูง จึงอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน มูลค่าการลงทุนอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ และนักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด ไม่ว่าในสถานการณ์ใด บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบต่อบุคคลหรือหน่วยงานใด หากเกิดการขาดทุนหรือสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งเป็นผลจากหรือเกี่ยวข้องกับธุรกรรมใดๆ ที่เกี่ยวกับ CFD